ท่านพระอาจารย์อังคาร อัคคธัมโม วัดป่าน้ำโจน จังหวัดพิษณุโลกได้เมตตานำปฏิบัติธรรม – แสดงธรรม ณ ระเบียงรมณีย์ ตึกภูมิสิริมังคลานุสรณ์ ชั้น 14 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อ วันที่ 20 พฤษภาคม 2565…ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ ขอให้ท่านเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะคะ

เวลาประมาณ 18.00 น.
ท่านพระอาจารย์อังคาร อัคคธัมโม
นำญาติโยมสวดมนต์ทำวัตรเย็น เพื่อบูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

คุณยายนันทนา นาคอินทร์
ผู้สร้างวัดป่าน้ำโจน

คุณยายน้องฮะเก๋า

ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย
ประธานมูลนิธิธรรมดี
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน)

อ.อุราภรณ์ เชยกาญจน์
อาจารย์พยาบาล
วพบ.นครศรีธรรมราช
กำลังศึกษาต่อระดับปริญญาเอก
ปรัชญญาดุษฎีบัณฑิต
สาขาพยาบาลศาสตร์
หลักสูตรนานาชาติ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผศ.ดร.นพ. ปรก เหล่าสุวรรณ์
ฝ่ายวิสัญญีวิทยา รพ.จุฬาลงกรณ์

คุณอภิชาติ กาญจนะสันติสุข
วิศวกรไฟฟ้า 7 ฝ่ายควบคุมไฟฟ้า
การไฟฟ้านครหลวง

คุณพลภัทร ชาญณรงค์
ผจก.ส่วนยานพาหนะและพัสดุ บริษัท LHFG

คุณทรงวุฒิ เคนศิริ
พนักงานคดีปกครองปฏิบัติการ
สำนักประธานศาลปกครองสูงสุด

คุณอนงค์ทิพอาภา สิงห์เสนี
คุณแม่น้องฮะเก๋า

น้องฮะเก๋า
อายุ 16 ปี เรียนที่ Harrow international school ได้ไปอยู่ที่วัดป่าน้ำโจน เกือบ 2 เดือน

หลังจากสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จ…ท่านพระอาจารย์นำเจริญสมาธิภาวนา

คุณภาคภูมิ รชตะธราดล
นักลงทุนอิสระ

คุณกิตติพงษ์ จิตชยานนท์กุล
เจ้าของบริษัท อุตรดิตถ์ อุตสาหกรรมการเกษตร จำกัด

การภาวนานั้นถึงมันจะยังไม่สงบลึกจนเป็นสมาธิอะไรก็ชั่งเถอะ ย่างน้อย ๆ …ก็ถือว่าได้ “เซฟสมอง” ไว้ใช้งานที่จำเป็นต่อไปแล้วที่สำคัญการกระทำของเรานี้ก็ถือว่าได้สร้างบารมี “ทาน ศีล ภาวนา” หรือดำรงตนอยู่ใน“ มรรค 8” แล้วล่ะ

พระอาจารย์อังคาร อคฺคธมฺโม

ฟังธรรม – สนทนาธรรม กับ…ท่านพระอาจารย์

ดร. ธีรพันธ์ ชัยมงคลโรจน์
ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

อ.สุนทรี ผลวิวัฒน์
รองคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

ดร.กัญจนา พัฒนวรพันธุ์
รองคณบดี คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

คุณจิรา เฉลียวเกรียงไกร (ขวามือ)
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่

คุณอาทิตย์ ชีวณิชชากร
Interior Design
The hardware revival

คุณภราดร ลิ้มวัฒนะกูร
ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Sonax Mos2Oil
คุณพ่อน้องฮะเก๋า

น้องฮะเก๋า

“สมดุลสถิต”

“…ถ้าเราอยากจะ “สงบ” มันก็ไม่อยาก “ฟุ้งซ่าน”…ไอ้ “อยาก” กับ “ไม่อยาก” นั่นล่ะ “ความฟุ้งซ่าน” ล่ะ!!! เพราะมันคือ “ตัณหา” รากเง้าของ “กิเลส” นั่นเอง

พระพุทธเจ้าท่านจึงให้ “จิต” (ผู้รู้) อยู่กับ “สิ่งรู้” คือคำบริกรรมอะไรก็ได้ที่ถูกอัธยาศัย สำหรับพระองค์ก็อยู่กับ “ลมอัสสาสะ และ ลมปัสสาสะ” คือ รู้อยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออกนี่แหละ…ส่วนพวกเราในปัจจุบันจะเพิ่มคำบริกรรมตามลมหายใจด้วยก็ได้ อย่างเช่นหายใจเข้าก็ “พุทธ” หายใจออกก็ “โธ” หรือจะเอาแต่คำบริกรรมในใจอย่างเดียวว่า “พุทธ ๆ ๆ” ในใจโดยไม่ยุ่งกับลมหายใจก็ได้ตามอัธยาศัย…เจตนาก็เพื่อไม่ให้ “ผู้รู้” มันเหวี่ยงไปที่อื่นอันจะนำไปสู่ความฟุ้งซ่านรำคาญใจนั่นเอง…

ต่อเมื่อความระลึกรู้อยู่กับสิ่งรู้ (คำบริกรรม)ในปัจจุบันต่อเนื่องมากขึ้น ๆ ๆ ๆ …เรื่องราวอื่น ๆ ทั้งเรื่องการเรื่องงาน…เรื่องอดีต อนาคต ก็จะค่อย ๆ เลือนหายไป…ถึงที่สุดก็จะไม่มีแม้กระทั้งคำบริกรรมหรือแม้กระทั่งลมหายใจ (ในความรู้สึกในขณะนั้น)…มีแต่ “สภาวะที่รู้เด่นอยู่เพียงหนึ่งเดียว”... เปรียบเทียบกับวิชาการทางโลกก็ประมาณว่า…“ΣF = 0” ก็เลยเกิด “สมดุลสถิต” นั่นแหละ…ไม่มี “แรงกระทำ” ก็ไม่มี “ความเร่ง” ไม่มี “งาน” ก็ไม่มี “พลังงาน” …เรากำลัง “อนุรักษ์พลังงาน” ล่ะ…

ออกมาจากความสงบเป็นหนึ่งเริ่มตอบสนองสิ่งเร้าภายนอกได้…ก็ค่อยพิจารณาไปถึงความไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืน ไม่มีอยู่จริงของสรรพสิ่งจากหยาบ ๆ ไปสู่ละเอียด…จาก “รูป” ไปสู่ “นาม” จาก “สสาร” ไปสู่ “พลังงาน” จาก “สิ่งรู้” ไปสู่ “ผู้รู้”…นั่นล่ะ “ภาวนา” ล่ะ คือ “พิจารณา”…โดยอาศัยกำลังจาก “ความสงบ” เป็นฐานสนับสนุน…เหมือนกับชีวิตปัจจุบันที่พวกเราทำงาน ทำมาหากินแต่ละวัน ที่ค่ำมาก็ต้องนอนพัก พอตื่นได้แรงแล้วก็สู้ต่อไป จนกว่าจะตายนั่นแหละ นี่เหมือนกัน…เข้าสู่ความสงบแล้วก็ออกมาพิจารณา เหนื่อยแล้วก็เข้าสู่ความสงบเอากำลังก่อนแล้วค่อยพิจารณาจนกว่าจะ “จบกิจพรหมจรรย์” คือหายสงสัยในสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง มันถึงจะไม่มี “พันธะ” เหนี่ยวนำที่จะไปก่อมวลอีกนั่นแหละ…จบ !!!…”

บางตอนในการบรรยายธรรม
โดย…ท่านพระอาจารย์อังคาร อัคคธัมโม

น้อมถวายทำบุญกับท่านพระอาจารย์

สาธุ…อนุโมนาบุญกับทุกท่านค่ะ

ความเมตตาของพ่อแม่ครูบาอาจารย์
“น้ำมนต์ยุคโควิด”

ท่านพระอาจารย์อนุโมทนาให้พรแก่ญาติโยม

อายุวัฑฒะโก , ความจริญอายุ
ธะนะวัฑฒะโก , ความเจริญทรัพย์
สิริวัฑฒะโก , ความเจริญสิริ
ยะสะวัฑฒะโก , ความเจริญยศ
พะละวัฑฒะโก , ความเจริญกำลัง
วัณณะวัฑฒะโก , ความเจริญวรรณะ
สุขะวัฑฒะโก , ความเจริญสุข
โหตุ สัพพะทา , จงมีแด่ท่านในกาลทั้งปวง
ทุกขะโรคะภะยา เวรา , ทุกข์โรคภัยและเวรทั้งปวง
โสกา สัตตุ จุปัททะวา , ความโศก ศัตรูและอุปัทวะทั้งหลาย
อะเนกา อันตะรายาปิ , ทั้งอันตรายทั้งหลายเป็นเอนก
วินัสสันตุ จะ เตชะสา , จงพินาศไปด้วยเดช
ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง , ความชนะ ความสำเร็จ ทรัพย์ ลาภ
โสตถิ ภาคะยัง สุขัง พะลัง , ความสวัสดี ความมีโชค ความสุข กำลัง
สิริ อายุ จะ วัณโณ จะ โภคัง วุฑฒี จะ ยะสะวา , โภคะ ความเจริญ และความเป็นผู้มียศ
สะตะวัสสา จะ อายู จะ , และอายุยืน 100 ปี
ชีวะสิทธี ภะวันตุ เต ฯ ,และความสำเร็จกิจในความเป็นอยู่ จงมีแก่ท่านในกาลทุกเมื่อเทอญ.

สนทนากับท่านพระอาจารย์ก่อนแยกย้ายกลับ

ขออนุโมทนาบุญในกุศลจิตกับทุก ๆ ท่าน ด้วยค่ะ…
ขอให้ท่านเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะคะ สาธุ…สาธุ…สาธุ