…ท่านพระอาจารย์อังคาร อัคคธัมโม วัดป่าน้ำโจน อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เมตตานำนั่งภาวนาและสนทนาธรรม ณ วัดปทุมวนาราม ตามคำกราบนิมนต์ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานมูลนิธิธรรมดี..เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ..และในโอกาสนี้พระเทพวชิรกิตติเมธี รองเจ้าคณะภาค ๑-๒-๓ (ธรรมยุติ), ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสมนัสราชวรวิหาร ได้เมตตามาร่วมนั่งภาวนา เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย ขอน้อมกราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านเจ้าคุณเจ้าค่ะ…และขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยนะคะ..สาธุๆๆ
พระอาจารย์เมตตานำนั่งภาวนา
เป็นเวลา 2 ชั่วโมง
รองเจ้าคณะภาค ๑-๒-๓ (ธรรมยุติ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสมนัสราชวรวิหาร
คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย
ประธานมูลนิธิธรรมดี
น้องเอพริล นักศึกษาชั้นปีที่ 2
คณะคณะบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์
สาขาวิชาการเงิน ABAC
น้องดราโก้
น้องชายของน้องเอพริล
น้องเอพริลและน้องดราโก้
นำสวดมนต์ทำวัตรเย็น เพื่อบูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
น้องต่อ
นักกีฬาปิงปองทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี



ค่าที่แท้จริง
“… นิโรธ = มรรค 8…( นิโรธ …คือความดับทุกข์..)…ส่วน…( มรรค 8 ..คือหนทางที่จะนำไปสู่…ความพ้นทุกข์..) ทีนี้เพื่อสะดวกในการนำเสนอให้เข้าใจได้ง่าย…จึงได้นำมาย่อยแล้วสื่อออกไปในภาษาที่ร่วมยุคร่วมสมัย…อุปมาอุปมัยในสิ่งที่ไกล้ตัวคนฟัง…ก็ลองฟังดูสักแป๊บนะ..เดี๋ยวค่อยว่ากัน
“มรรค 8” คือ “สมการ” แทนค่า “กรรมวิธี” ที่จะนำไปสู่ “ค่าที่แท้จริงของ” “นิโรธ” (ความดับทุกข์ ) …โดยมี “สัมมาสติ” เป็น “ตัวแปรต้น”แล้วจึงมี…ความเห็นชอบ…ความคิดชอบ…คำพูดชอบ…การทำการงานชอบ…เลี้ยงชีพชอบ…ความเพียรชอบ…เป็น “ตัวแปรตาม” ที่จะกลับมาเป็นภูมิคุ้มกันสนับสนุนให้ “ตัวแปรต้น” คือ “สัมมาสติ” เข้มแข็งพอที่จะก้าวเข้าไปสู่กระบวนการที่ทำให้เกิด “ตัวแปรควบคุม” คือควบคุม “จิต” ( ผู้รู้ ) ..แต่ยังหลงอยู่นี้..ให้อยู่กับร่องกับรอย..ไม่ให้โดดไปหา..อดีต..อนาคต..รัก..ชัง..ทั้งหลายทั้งปวงได้.. …ซึ่งเมื่อ “สัมมาสติ” เข้มแข็ง…“จิต” (ผู้รู้) ก็จะมีกำลัง.. กระบวนการคิดวิเคราะห์ก็จะมีคุณภาพตาม..มันถึงจะรู้เท่าทัน “อาการของจิต” จึงจะสามารถควบคุม “จิต” (ผู้รู้ ) ให้ตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันขณะได้…ผลสัมฤทธิ์นี้นี่แหละ “สัมมาสมาธิ”( ความตั้งมั่นของจิต ) ล่ะ….ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิดพลังงานอันยิ่งยวดในรูปของ “ปัญญารู้รอบในกองสังขาร” …เมื่อถึงที่สุด… “จิต” (ผู้รู้) จึงจะสามารถปลดล็อค “ความหลง” ..หลงยึดหลงถือหลงสำคัญมั่นหมายใน…รูปขันธ์ 1 แล้วก็…นามขันธ์ 4…ว่าเป็น “เรา” เป็นของ “ของเรา”..อย่างเป็นจริงเป็นจังได้…นี่..เมื่อไม่มี “อุปาทาน” ( ความยึดมั่นถือมั่น ) ก็ไม่มี “ภพ” ( ที่เกาะเกี่ยวของ “จิต” ) จึงไม่มี “ชาติ” คือ.. “การเกิด” ก็เลยเหลือแต่ “ธรรม” ล้วน ๆ…ดังที่พระพุทธเจ้าทรงบอกสอนไว้…ผู้ใดเห็น “ธรรม” ผู้นั้นเห็น “เราตถาคต” แล…คำสอนของพระองค์ก็คือ…“สมการ” ก็คือ “ตัวแปร” ที่จะให้พวกเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายนำไปเป็นไกด์ไลน์เพื่อไปแก้สมการหา “ค่าที่แท้จริง” ของ “สภาวะ” ที่พระองค์ทรงค้นพบ ..มันถึงจะ “อาโลโก อุทะปาทิ” …แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่ “เรา” ..“เรา”..ที่ไม่ได้ถูกครอบงำจากความหลง..“เรา”.. ที่รู้จักสมมุติ..เคารพสมมุติ..แต่ไม่ติดในสมมุติ…”
ณ วัดปทุมวนาราม
เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๘
ร่าเริงในธรรม…อย่างมีสาระธรรม

ท่านเจ้าคุณกราบท่านพระอาจารย์
ด้วยความเคารพอาวุโสภันเต
ยอดไม้..ยิ่งสูงยิ่งอ่อน
ยอดคนย่อมอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้แล
“อาวุโสภันเต
คือ..ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว”
การกระทำให้ดูเป็นการประกาศศาสนาที่ดีที่สุด…คารวะธรรม

สาธุๆๆ..ขอน้อมกราบในความเมตตาของท่านเจ้าคุณด้วยนะคะ
และขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ
พบกันอีกครั้งที่วัดปทุมวนาราม
วันที่ 10 มิถุนายน 2568