...หินลับปัญญา...
"...การปฏิบัติธรรม...นั่งสมาธิ...ภาวนา...ถ้าไม่มาพิจารณา "ความเจ็บปวด" แล้วก็ "ความตาย"นี้...แล้วจะไปพิจารณาอะไร?...แล้วถ้าไม่มานั่งนิ่ง ๆ อยู่เฉย ๆ นาน ๆ จะเห็นมั๊ยล่ะ...ความเจ็บปวดที่ชัดเจน...นี่ล่ะ "ทุกข์"...หาสิทีนี้หา "สมุทัย" น่ะ...ความเห็นว่าทุกข์ก็อยู่ใน "ไตรลักษณ์" (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) นั้นชอบแล้ว...แล้วก็คิดที่จะหาสมุทัยนั่นล่ะ "มรรค"...แต่จะไปถึง "นิโรธ"เมื่อไหร่อีกเรื่องหนึ่งนั่นคือ "ผล" ...ตอนนี้เรากำลังสร้าง "เหตุ" อยู่... "ทุกขเวทนา" นี่แหละ "หินลับปัญญา" ล่ะ...เกิดมาแล้วจะไม่ให้ แก่ เจ็บ... แล้วก็ตายเป็นไปไม่ได้ ...สิ่งที่ทำได้คือ...ผลิต "ปัญญา" ที่มีคุณภาพขึ้นมา...จึงจะสามารถอยู่ร่วมกับมันได้อย่างทุกข์น้อยหรือไม่ทุกข์เลย...ตามกำลังของ..."ปัญญา" ที่ "ซ.ต.พ." แล้ว...คือเป็นผลที่เกิดจากการปฏิบัตินี่แหละ..."เจ้าชายสิทธัตถะ" ท่านไปเปลี่ยนแปลงอะไร? ถึงได้เป็น "พระพุทธเจ้า" ...ก็เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดของท่านนั่นแหละจะไปเปลี่ยนแปลงอะไร...ก่อนจะ "ตรัสรู้"ท่านก็นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ภายใต้แสงจันทร์ ฯลฯ ...หลังจาก "ตรัสรู้" แล้ว...สรรพสิ่งภายนอกที่กล่าวมาก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม...พระจันทร์ดวงนั้นก็ยังคงมีอยู่ตราบทุกวันนี้...แต่สิ่งที่หายไปคือ "กิเลส" ที่เคยทำให้ "ดวงจิต" ของพระองค์เศร้าหมอง...พระองค์จึงเป็น"พุทธะ"...ผู้รู้ (รู้ความเป็นจริงของสรรพสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ไม่เสถียร ไม่มีสาระแก่นสาร ไม่มีอยู่จริง)..ผู้ตื่น (ตื่นจาก"ความหลง"...หลงยึดหลงถือหลงสำคัญมั่นหมายกับสรรพสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนนี่แหละ)...ผลก็เลยเป็น "ผู้เบิกบาน"...สรุปแล้วคือท่าน "รู้แจ้งโลก" จาก "ภายใน" ไม่ใช่ "ภายนอก"...แต่อาศัยเรื่องราวภายนอกเป็นตัวเร่ง...ทุกสรรพสิ่งถ้า "จิต" ไม่สำคัญมั่นหมายมันจะมีอะไรมาสำคัญมั่นหมายเรา...หลังจากที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว ท่านก็ยังคงมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...อยู่เหมือนเดิม...แล้วก็ยังรับผัสสะกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
ได้เป็นปกติ...เพียงแต่ไม่มี "กิเลส" ทำ "ปฏิกิริยา" ร่วมกับ "สิ่งเร้า" เท่านั้น "ความเศร้าหมอง" จึงไม่มีกับ "ดวงจิต" ที่บริสุทธิ์ของพระองค์....เช่นเดียวกับ...ความชื้นมี...อ๊อกซิเจน
มี...แต่ไม่มี "เหล็ก" ทำ "ปฏิกิริยา" ร่วม... "สนิม" จะไปเกิดตรงไหน?..."
(บางตอนในการบรรยายธรรม โดย ท่านพระอาจารย์อังคาร อัคคธัมโม
เมื่ออาทิตย์ ที่ 24 กันยายน 2560
ณ "ธัมมทานัง" คลินิกแพทย์วีระพันธ์ ตลาดทรัพย์อนันต์ เมืองพิษณุโลก) |
|